7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “วันคริสต์มาส” ทำไมตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี




เสียงเพลง Jingle Bells และ Last Christmas ถูกเปิดในห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นสัญญาณว่า “วันคริสต์มาส” ใกล้เข้ามาถึงแล้ว แม้เทศกาลนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตก แต่ก็มีอิทธิพลด้านการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั่วโลก กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ผู้คนต่างออกมาเฉลิมฉลอง เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าเทศกาลนี้มีที่มาอย่างไร ไขข้อสงสัยได้จาก 7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวันคริสต์มาสกันเลย!

1. ความหมายของคำว่า “คริสต์มาส”

วันคริสต์มาส (Christmas) คือ วันที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู ซึ่งเป็นศาสดาสูงสุดของศาสนาคริสต์ ถือเป็นวันหยุดประจำปีที่ชาวคริสต์ให้ความสำคัญมาก ทั้งนี้ “Christmas” แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า Christes Maesse เนื่องจากวันคริสต์มาสเป็นวันที่คริสต์ศาสนิกชนนิยมทำพิธีมิสซา 

2. ประวัติความเป็นมาของวันคริสต์มาส

แม้วันคริสต์มาสจะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู แต่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ไม่ได้มีการบันทึกว่าตรงกับวันที่เท่าไร โดยชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูประสูติ ณ เมืองเบธเลเฮม แคว้นจูเดีย ในสมัยจักรพรรดิออกัสตัสแห่งกรุงโรม ต่อมาใน ค.ศ.274 จักรพรรดิออเรเลียน (Emperor Aurelian) ทรงกำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมฉลองเหล่าสุริยเทพของชาวโรมัน แต่ชาวคริสต์ในอาณาจักรโรมันถือว่าพระเยซูคือผู้ทรงอยู่เหนือความตาย และเป็นศาสดาสูงสุดที่พวกเขานับถือ จึงเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูในวันดังกล่าวแทน การบันทึกว่า วันคริสต์มาสที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการมีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.336 นับจากนั้นเป็นต้นมา วันคริสต์มาส จึงตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี 

3. วันคริสต์มาสอีฟ คือวันอะไร?

วันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) ตรงกับวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี หรือก่อนวันคริสต์มาสเพียง 1 วัน เนื่องจากในธรรมเนียมชาวคริสต์ วันคริสต์มาสจะเริ่มต้นขึ้นในตอนเย็นของวันคริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะนำถุงเท้ามาแขวนไว้หน้าเตาผิงเพื่อรอของขวัญจากซานตาคลอส ส่วนในรุ่งเช้าซึ่งเป็นวันคริสต์มาสที่สมาชิกครอบครัวจะอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ทำกิจกรรมและรับประทานอาหารค่ำมื้อพิเศษร่วมกัน ซึ่งเมนูอาหารที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ไก่งวง และเครื่องดื่มประเภทต่างๆ

4. ประวัติซานตาคลอส ชายแก่ใจดีที่เด็กทั่วโลกรอคอย

ภาพชายแก่ร่างอ้วน สวมชุดสีแดง หนวดเคราสีขาว มาพร้อมรถลากเลื่อนและกวางเรนเดียร์จมูกแดง หรือที่เรียกกันว่า “ซานตาคลอส” กลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำของวันคริสต์มาส ซึ่งจริงๆ แล้วซานตาคลอสได้ต้นแบบมาจาก “นักบุญนิโคลัส” บาทหลวงชาวตุรกี ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นชายที่มีจิตใจดี ต่อมาชาวฮอลแลนด์เรียกนักบุญผู้นี้ว่า “ซินเตอร์คลาส” และชาวอเมริกันเรียกเพี้ยนเป็น “ซานตาคลอส” ซึ่งนิยมเรียกกันทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยที่นักบุญนิโคลัสยังมีชีวิต เขาเคยปีนปล่องไฟเพื่อมอบเหรียญเงินเป็นของขวัญให้แก่บ้านเด็กหญิงที่ยากจน ทว่าเหรียญเงินนั้นกลับตกลงไปในถุงเท้าที่แขวนไว้หน้าเตาผิง จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กๆ ต่างพากันแขวนถุงเท้าไว้หน้าเตาผิงเพื่อรอของขวัญจากซานตาคลอสในวันคริสต์มาส กลายเป็นตำนานที่มาของซานตาคลอส และการแขวนถุงเท้านั่นเอง

รู้หรือไม่ว่า เดิมทีภาพของ “ซานตาคลอส” ไม่ได้เป็นชายสวมชุดสีแดงอย่างที่เข้าใจกัน แต่ในราว ค.ศ.1930 บริษัท Coca-Cola ได้วาดภาพโฆษณาเกี่ยวกับซานตาคลอสและวันคริสต์มาส โดยให้สวมชุดสีแดงเหมือนสีของแบรนด์ จึงกลายเป็นที่มาของภาพจำว่าซานตาคลอสคือชายแก่ที่สวมชุดสีแดง

5. ต้นคริสต์มาส คือต้นอะไรกันแน่?

สัญลักษณ์ที่จะขาดไม่ได้เลยในวันที่ 25 ธันวาคม ก็คือ “ต้นคริสต์มาส” ซึ่งทำมาจากต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาได้ง่ายในทวีปยุโรปและอเมริกา นิยมประดับประดาด้วยกล่องของขวัญและถุงเท้า พร้อมทั้งติดไฟสีสันสวยงาม ทว่าจริงๆ แล้วชาวคริสต์ในสมัยโบราณต่างเชื่อว่าต้นคริสต์มาสคือ ต้นไม้ในสวนสวรรค์ที่อดัมและเอวาหยิบผลไปกิน

ปัจจุบันมีการนำต้นไม้ประเภทต่างๆ มาตกแต่งเป็นต้นคริสต์มาส เช่น ต้นฮอลลี ซึ่งมีใบสีเขียวลักษณะคล้ายหนามและมีผลสีแดงสด สื่อความหมายถึง มงกุฎหนามและหยดเลือดของพระเยซู นอกจากนี้ยังมีต้น Poinsettia ที่หลายคนเรียกว่าต้นคริสต์มาส มีใบสีแดงสดสวยงาม โดยมีประวัติความเป็นมาว่า เด็กหญิงฐานะยากจนคนหนึ่งอยากจะมอบของขวัญให้พระแม่มารี แต่ไม่มีเงินซื้อของขวัญ นางฟ้าจึงปรากฏกายขึ้นและมอบเมล็ดพืชให้เธอ เมื่อนำไปปลูกก็กลายเป็นต้น Poinsettia ทำให้ถูกเรียกว่า ต้นคริสต์มาส นั่นเอง (ดูความหมายของประดับตกแต่งต้นคริสต์มาสได้ที่นี่)

6. กิจกรรมในเทศกาลคริสต์มาส 2564

เทศกาลคริสต์มาสถือเป็นเทศกาลที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข มีการจัดงานเฉลิมฉลอง ประดับต้นคริสต์มาสตามสถานที่ต่างๆ และจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างสวยงาม สมัยก่อนชาวโรมันนิยมมอบของขวัญที่มีค่าให้แก่กัน เช่น อาหาร ขนม และทองคำ ในขณะที่ชาวยุโรปมักบริจาคทาน มอบของขวัญ และของใช้ให้แก่คนไร้บ้าน ในปัจจุบันถือเป็นวันที่ครอบครัวจะได้กลับมาฉลองร่วมกัน มีการมอบของขวัญ ส่งการ์ดอวยพร ทำขนมอบ และรับประทานอาหารมื้อค่ำ ส่วนเด็กๆ จะรวมตัวกันร้องเพลงตามบ้านและโบสถ์ อีกทั้งนิยมนำถุงเท้ามาแขวนไว้หน้าเตาผิงเพื่อรอของขวัญจากซานตาคลอส (ซึ่งก็คือพ่อแม่ของพวกเขา) หน้าห้างสรรพสินค้าต่างๆ ก็จัดไฟต้นคริสต์มาส รองรับนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูป

7. คำอวยพรยอดนิยมในวันคริสต์มาส

คำอวยพรที่เรามักได้ยินกันคือ “Merry Christmas” แปลว่า “สันติสุข” บางครั้งก็นิยมพูดว่า “Merry Xmas” เนื่องจากตัวอักษร X ในภาษากรีก เป็นตัวอักษรตัวแรกของคำว่า “Χριστός” ที่หมายถึง “คริสต์” นอกจากนี้ก็ยังมีคำอวยพรอื่นๆ ที่นิยมมอบให้แก่กันในวันคริสต์มาส เช่น

  • Happy Christmas – สุขสันต์วันคริสต์มาส
  • Merry Christmas and a Happy New Year – สุขสันต์วันคริสต์มาสและสวัสดีปีใหม่
  • Wishing you a prosperous New Year – ขอให้เป็นปีใหม่ที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
  • May Santa Claus bring everything you wished for. Merry Christmas – ขอให้ซานตาคลอสนำทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณปรารถนามามอบให้ สุขสันต์วันคริสต์มาส
  • Praying you have a wonderful Christmas filled with moments you’ll always remember. – ขอให้วันคริสต์มาสที่ยอดเยี่ยมนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยช่วงเวลาดีๆ ที่คุณจะจดจำตลอดไป

จะเห็นได้ว่าทุกเทศกาลสำคัญมักมีที่มาและความสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวิถีชีวิต “วันคริสต์มาส” ก็เป็นอีกเทศกาลที่มีความเป็นมาที่น่าสนใจ และผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ…สุขสันต์วันคริสต์มาส! 

ที่มา : www.history.com