สัมผัสแรกสุดแสบสัน ทดสอบ NEW FORD RANGER 2022




Ford New Ranger 2022 กระบะตัวเต็มเจเนอเรชันใหม่ที่ประกอบในประเทศไทยรวมถึงยังส่งออกไปขายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก นับเป็นการรอคอยที่ยาวนานถึง 10 ปี กว่าที่ Ford จะเปิดตัวและวางขายรถกระบะที่ได้ชื่อว่าขับได้ดีที่สุดในกลุ่มรถปิกอัพของไทย งานออกแบบรถใหม่ เชื่อมโยงกันระหว่างรถยนต์ 3 รุ่น นั่นก็คือ New Ranger / New Everest / New Raptor ซึ่งทั้งหมดจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อการทำตลาดที่ครอบคลุมต่อกลุ่มลูกค้า และเพื่อทำให้รถยนต์ทั้งสามโมเดลของ Ford ตรงกับความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาใต้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายประเทศที่นำเข้ารถยนต์ทั้งสามรุ่นที่ประกอบในประเทศไทย

ใบหน้าใหม่ของ New Ranger รุ่น Bi Turbo 4×4 เน้นความเป็นกระบะอเมริกันเต็มรูปแบบ ย่อส่วนมาจากกระบะ Ford F150 เพื่อไม่ให้ใหญ่มากจนเกินไปเมื่อถูกวางขายในอาเซียน เริ่มจากกระจังหน้าสีเทา-ดำทรงรังผึ้ง มีช่องรับอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์และช่องรับอากาศของระบบไอดีที่แยกออกมาอยู่ด้านบนฝั่งซ้ายของห้องเครื่องยนต์ เมื่อลุยน้ำได้ลึกถึง 80 เซนติเมตร ท่ออากาศของ New Ranger จึงถูกยกขึ้นสูงจนเกือบจะอยู่ในแนวเดียวกับฝากระโปรงหน้า กันชนหน้ารูปตัว X ที่ต้องใช้ความกล้าหาญและงานวัดที่ลงตัวในขั้นตอนของการออกแบบ ไฟตัดหมอก LED อยู่ในกรอบพลาสติกสีดำ พลาสติกตกแต่งใต้กันชนหน้าสีเงินที่ทำให้ด้านหน้าดูลงตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงไฟหน้ารูปตัว C ที่ทันสมัย มีไฟ Matrix LED พร้อมไฟหรี่กลางวัน LED Day Time Running Light ฝากระโปรงหน้ายกสันนูนเพื่อเพิ่มมิติของแสงเงายามตกกระทบ ตราสัญลักษณ์ Ford อยู่ตรงกึ่งกลางกระจังหน้า และออกแบบให้กระจังมีช่องพลาสติกแนวนอนคาดกลางอย่างสวยงาม  

ไฟส่องสว่างของ Ranger 2022 ติดตั้งไฟหน้าและหลังแบบ LED เต็มรูปแบบ และยังมีไฟหน้าแบบ Matrix LED ประสิทธิภาพของระบบส่องสว่างแบบใหม่ ที่ถูกนำมาติดตั้งในรถกระบะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แอปพลิเคชันฟอร์ดพาส™ii ช่วยเชื่อมต่อการสื่อสารกับรถได้ตลอดเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน เช่น การตรวจสอบกำหนดการบำรุงรักษารถ การสตาร์ตรถจากระยะไกล การตรวจเช็กตำแหน่งของรถ การแจ้งเตือนสภาพรถเบื้องต้น การล็อกหรือปลดล็อกจากระยะไกล รวมถึงการเปิดเครื่องปรับอากาศในรถด้วยอุณหภูมิที่ตั้งไว้ก่อนหน้า

มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 5,370 มิลลิเมตร กว้าง 1,918 มิลลิเมตร สูง 5,370 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถปรับใหม่เป็น 256 มิลลิเมตร เพื่อทำให้ลุยน้ำได้ลึกถึง 80 เซนติเมตร ความยาวฐานล้อเพิ่มเป็น 3,220 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,206 กิโลกรัม ด้านข้างบริเวณแก้มข้างติดตั้งพลาสติกตกแต่งสีดำพร้อมตัวอักษร Bi Turbo กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวกรอบสีดำ มือจับประตูสีเดียวกับตัวถัง แรคหลังคาสีเงิน ชุดแต่งสปอร์ตบาร์สีเทา-ดำ ขอบของกระบะมีราวแรคเพื่อการยึดกับสัมภาระต่างๆ ซุ้มล้อหุ้มพลาสติกสีดำ ล้ออัลลอยลายใหม่สีเทาดำขอบ 18 นิ้ว ห่อรัดด้วยยาง goodyear wrangler territory ht ไซส์ 255/65R18 ฝาท้ายออกแบบใหม่ ย้ายตำแหน่งไฟเบรกดวงที่สามมาอยู่ที่แถบของมือจับที่เปิดฝาท้าย ตัวอักษร Ranger สัญลักษณ์ 4×4 และ Wildtrak เปลี่ยนใหม่หมด รวมถึงไฟท้ายแบบ LED ที่มีรูปทรงสีสันสวยงามเสริมให้ส่วนท้ายดูดีกว่าเดิม กันชนหลังออกแบบให้เป็นที่เหยียบขึ้นไปบนกระบะหรือใช้การเหยียบที่ช่องบันไดด้านข้างที่อยู่ใกล้กับบริเวณใต้ไฟท้าย ฝาท้ายมีกลไกผ่อนแรงเปิด-ปิด ขอบของฝาท้ายออกแบบให้มีช่องที่สามารถติดตั้งเครื่องมือช่างสำหรับการทำงานภาคสนาม ด้านในของกระบะที่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกกันกระแทกพวกไลเนอร์ มีช่องเสียบเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าสองช่องทั้งแบบ 12V และ 230V ที่ต้องติดเครื่องยนต์หากใช้งาน เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งแบบแคมป์เต็นท์ เนื่องจากตัวจ่ายกระแสไฟฟ้าใช้งานได้ง่ายกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ทั้งหลอดไฟส่องสว่าง หรืออุปกรณ์เตาแคมปิ้งไฟฟ้า 

งานตกแต่งภายในที่ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดี มีความหรูหราน่าใช้ แม้พลาสติกภายในจะไม่ได้ใช้ของแพง แต่รูปแบบของชิ้นงานและโทนสีสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ford ในการที่จะเอาชนะรถคู่แข่งเจ้าตลาดทั้ง Isuzu D-MAX และ Hilusx REVO สำหรับ New Ranger 2022 มีฟังก์ชันใช้งานที่เหนือกว่ารถกระบะคู่แข่ง Ford พยายามปรับความสามารถในด้านการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งโทรศัพท์ไร้สายและเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา หรือช่องเชื่อมต่อ USB-C ห้องโดยสารภายในของ New Ranger มีการออกแบบให้รองรับการใช้งานที่ครอบคลุมผู้คนยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อสื่อสาร ซึ่ง Ford แจ้งว่า เป็นระบบฉลาดที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยผลิตและใส่ในรถกระบะตระกูล Ranger ระบบเชื่อมต่อสั่งงานผ่านจอภาพขนาด 12 นิ้ว วางในแนวตั้งบริเวณคอนโซลกลาง ออกแบบให้เชื่อมต่อการสื่อสารจากที่บ้าน หรือที่ทำงาน เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน

เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเหลือง พนักพิงหลังประทับตรา Wildtrak แดชบอร์ดคอนโซลขึ้นรูปด้วยพลาสติกสีเทาดำ แดชบอร์ดตรงหน้าเบาะผู้โดยสารตอนหน้า ออกแบบให้มีช่องเก็บของอยู่ตรงกลาง ด้านบนและล่างเป็นช่องเก็บของแบบมีฝาปิด ช่วยปรับให้ฟังก์ชันการใช้งานในจุดนี้มีความเหนือชั้นกว่ารถคู่แข่ง แดชบอร์ดด้านบนหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเหลือง พลาสติกตกแต่งคาดกลางแดชบอร์ดสีดำเงามีตราสัญลักษณ์ Wildtrak พวงมาลัยสามก้านหุ้มหนังแท้เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเหลือง คันเกียร์หน้าตาคล้ายของเดิมเนื่องจากการใช้สวิตช์เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์แบบ +/- อยู่ที่หัวเกียร์เหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา ซุ้มคันเกียร์หุ้มหนังแท้เย็บด้วยด้ายสีเหลือง ตำแหน่งของเบรกมือไฟฟ้าและแป้นปรับโหมดการขับเคลื่อน ปุ่มควบคุมการขับขี่ออฟโรดและช่องวางแก้วสองตำแหน่ง แผงประตูออกแบบใหม่ให้มือจับที่เปิดประตูด้านในอยู่ใกล้กับมือมากยิ่งขึ้น ที่เปิดประตูแบบใหม่ใช้แนวคิดย้อนยุคแต่ใช้งานได้ดี แผงประตูหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์พร้อมวัสดุที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มนวล 

ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC®i 4A เจเนอเรชันใหม่ หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ทำงานเสมือนสมาร์ทโฟน แผงหน้าปัดแบบดิจิทัล TFT แทนแผงหน้าปัดแอนะล็อกแบบเดิม Ford Ranger เจเนอเรชันใหม่ เทคโนโลยีใหม่ที่ตอบสนองการใช้งานของลูกค้า แผงหน้าปัดแบบดิจิทัลขนาดใหญ่ 8 นิ้ว แสดงข้อมูลเต็มรูปแบบ เหนือกว่าระบบแอนะล็อกเดิม นอกจากนี้ หน้าจอควบคุมระบบความบันเทิงแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 10.1 หรือ 12 นิ้ว เพิ่มความหรูหราทันสมัยภายในห้องโดยสาร ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A ที่ตอบสนองการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter ยังคงใช้การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์แบบเดิมด้วยการกดสัญลักษณ์  +/- บนหัวเกียร์ ซึ่งควรจะเปลี่ยนได้แล้ว สำหรับระบบเบรกมือไฟฟ้า ได้รับการติดตั้งในรถกระบะเป็นครั้งแรก หน้าจอดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว แทนที่ตำแหน่งมาตรวัดแบบเดิม สามารถปรับการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย แสดงภาพเคลื่อนไหวเมื่อสตาร์ตรถและดับเครื่อง แสดงอัตราความเร็วและรอบเครื่องยนต์แบบดิจิทัล ภาพกราฟิกจำลองรถแบบเสมือนจริง ใน Ranger ใหม่ บางรุ่น หรือเปลี่ยนหน้าจอให้แสดงข้อมูลที่ต้องการได้หลากหลาย เช่น ฟังก์ชันของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ รอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดพิเศษหรือเลือกแสดงผลข้อมูลต่างๆ บนจอ พร้อมโหมดการขับทั้งบนถนนและแบบออฟโรด หน้าจอแสดงผล แสดงการทำงานด้วยภาพเคลื่อนไหวในธีมต่างๆ ที่เปลี่ยนไปตามโหมดในการขับขี่ที่เลือกใช้

ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีที่ติดตั้งใน New Ranger 2022 โดย SYNC® 4A เป็นระบบสื่อสารและความบันเทิงในรถ Ford ที่รองรับการเชื่อมต่อบน Apple CarPlay™ และ Android Auto™ มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่นการแสดงผลฟีเจอร์ที่ใช้งานล่าสุดก่อนเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น หน้าจอสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว หรือ 12 นิ้ว เป็นจอที่ใหญ่ที่สุดในเซ็กเมนต์ เลือกการตั้งค่าหน้าจอแบบแยกส่วน ผ่านแป้นสั่งการที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอ แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบแผนที่นำทาง การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ และอุปกรณ์อื่นๆ การเลือกใช้หน้าจอแบบแท็บเล็ตขนาดใหญ่ เพื่อแสดงระบบแผนที่นำทางได้อย่างชัดเจน และยังเหลือพื้นที่ด้านล่างของจอสำหรับแสดงผลอื่นๆ เช่น ระบบปรับอากาศ และระบบควบคุมความบันเทิงอื่นๆ โมเด็มที่ติดตั้งมาจากโรงงานใน New Ford Ranger 2022 ให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับรถได้อย่างต่อเนื่องผ่านแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส ในอนาคต สามารถอัปเดตข้อมูลและการทำงานหลายอย่างบนรถได้ ผ่านการเชื่อมต่อไร้สาย เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ SYNC® 4A การอัปเดตเพื่อยกระดับคุณภาพ ความสามารถในการขับขี่ และความสะดวกสบายบางรายการ โดยไม่จำเป็นต้องนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ ระบบการควบคุมการขับขี่ของ New Ranger ถูกย้ายจากแผงหน้าปัดและคอนโซลกลาง ไปอยู่บนหน้าจอ SYNC แทน ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยเข้าสู่หน้าจอโหมดออฟโรดก็มองเห็นเส้นทางการขับขี่ มุมเลี้ยว เนินชัน พื้นลาดเอียง และการควบคุมอื่นๆ ได้เพียงกดปุ่มเดียว การควบคุมอุณหภูมิและระบบความบันเทิงภายในรถ สั่งการผ่านหน้าจอ SYNC ได้ และยังมีการติดตั้งปุ่มจริงใต้หน้าจอไว้ด้วย เพื่อการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็ว จอทัชสกรีนเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา เพื่อให้จอดรถได้สะดวกขึ้นในพื้นที่แคบ หรือช่วยเหลือผู้ขับในการเดินทางบนสภาพเส้นทางที่มีความสมบุกสมบันเป็นพิเศษ โดยระบบ จะทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหน้ารถ หลังรถ ภาพรอบรถจากมุมสูง รวมถึงจุดบอดต่างๆ

ระบบควบคุมอุณหภูมิแบบใหม่และคอมเพรสเซอร์แบบความเร็วแปรผัน ลดการทำงานของเครื่องยนต์ เพิ่มการประหยัดน้ำมัน สามารถควบคุมระบบควบคุมอุณหภูมิภายในรถได้หลายวิธี ทั้งบนหน้าจอ SYNC® 4A หรือปุ่มบริเวณด้านล่างของจอ ระบบเซนเซอร์ภายในห้องโดยสาร มีฟังก์ชันตรวจวัดอุณหภูมิและระดับความชื้น เพื่อปรับโหมดและระดับพัดลมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรักษาอุณหภูมิและความสบายภายในห้องโดยสาร ไม่ว่าอากาศด้านนอกจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดเรนเจอร์มาพร้อมกับระบบควบคุมแอร์ด้านหลังบริเวณคอนโซล ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังปรับอุณหภูมิได้เองตามต้องการ หรือตั้งค่าให้ระบบปรับอุณหภูมิทำงานอัตโนมัติได้ 

New Ranger Wildtrak 2022 เจเนอเรชันใหม่มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงที่ทรงประสิทธิภาพ โดยรุ่น Wildtrak คันทดสอบ มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มีตัวเลือกทั้งแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และขับเคลื่อนสองล้อเป็นครั้งแรก มอบพละกำลัง 210 PS ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที รุ่นสปอร์ต มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาทีและแรงบิด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที และยังเป็นครั้งแรกที่ New Ranger มีตัวเลือกรุ่น Wildtrak ขับเคลื่อนสองล้อหลัง 4×2 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มอบพละกำลัง 170 PS ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที

รุ่นที่ผมขับทดสอบก็คือ New Ranger Wildtrak 2.0 Bi Turbo 4WD 2022 เครื่องดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบคู่ กำลัง 210 แรงม้า ลดลงมาเล็กน้อยเมื่อเทียบแรงม้ากับ Ranger โฉมที่แล้ว ส่วนแรงบิดยังเท่าเดิมที่ 500 นิวตันเมตร ช่วงล่างใช้โช้คอัพ Mono Tube ที่มีการทำงานโดยกลไกของวาล์วด้านในแบบสองชั้น โช้คอัพและสปริงที่ปรับใหม่ ทำให้ช่วงล่างของ New Ranger Wildtrak 2.0 Bi Turbo 2022 มีความนิ่มนวลเข้าใกล้กับรถเก๋งขนาดกลางมากยิ่งขึ้น อาการกระเด้ง โยนตัวหรือสั่นสะเทือนลดลงไปมาก เส้นทางจากเกาะภูเก็ตมุ่งหน้าไปยังจังหวัดพังงา ในเหมืองหินเก่าที่ถูกปรับสภาพให้กลายเป็นสนามทดสอบออฟโรด ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์’ (Ford Ranger Ville) เส้นทางสั้นๆ จากโรงแรมเรเนซองภูเก็ตไปยังเหมืองหินในจังหวัดพังงามีความยาวแค่ 100 กิโลเมตรเท่านั้นเอง กำลังแรงบิด 500 นิวตันเมตร เหลือเฟือในการทำความเร็ว แม้ตัวจะหนักถึง 2.2 ตันแต่ก็พอที่จะมีความคล่องแคล่วอยู่บ้าง ขนาดที่ใหญ่ทำให้ต้องระวังในการใช้ความเร็ว ถนนจากภูเก็ตเต็มไปด้วยรถบรรทุกและรถตู้ของนักท่องเที่ยว ทำให้การขับทดสอบไม่เต็มที่เท่าไรนักเพราะโดนบีบไม่ให้ไปเร็วกว่ารถคันนำ แต่เมื่อลองขับแบบกดคันเร่งต่อเนื่องก็พบว่า เครื่องยนต์เทอร์โบคู่และเกียร์ 10 สปีด เนียนกว่าเดิม ทั้งเสียงการทำงานที่ลดลงของเครื่องยนต์และการไหลขึ้นๆ-ลงๆ ของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด การเก็บเสียงก็ดีขึ้นมาก วิ่ง 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมีเสียงลมและเสียงยางน้อยมาก ต้องไต่ไปถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึงจะได้ยินเสียงลมและเสียงบดลงไปบนผิวถนนของยางอย่างชัดเจน พวงมาลัยไฟฟ้าให้ความรู้สึกเบากว่าเดิมนิดๆ แต่ยังคงความแม่นยำและตอบสนองต่อการเลี้ยวในโค้งได้ดี ขนาดที่ใหญ่เต็มช่องทางต้องปรับความรู้สึกกันใหม่หมด สำหรับคนที่เพิ่งจะลงมาจากรถเล็กๆ อย่าง Corolla Cross GR เมื่อมาควบคุมเจ้ายักษ์หนักสองตัน เรื่องของระยะเบรกก็ต้องเฝือใหม่กันทั้งหมด 

เมื่อเดินทางมาถึง ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์’ (Ford Ranger Ville) สนามออฟโรดที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อทดสอบสมรรถนะและการเลือกใช้โหมดการขับขี่ที่ติดตั้งมาในรถ New Ranger Bi-turbo 4×4 ซึ่งเป็นสนามทดสอบที่ออกแบบและปรับแต่งโดย Ford ใช้เหมืองระเบิดหินเก่ามาปรับแต่งเส้นทาง เพื่อทำให้สามารถทดสอบโหมดขับเคลื่อนต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

สถานีที่ 1
ขับไต่เนินชัน ‘Hill Maneuvering’ ผมยัดเกียร์ D ปรับไปที่โหมดขับสี่แบบ 4H ออกตัวด้วยสปีดที่เร็วๆ พอๆ กับการเดิน เลือกใช้โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) คู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) บิดปุ่มปรับโหมดทรงกลมข้างๆ ซุ้มคันเกียร์ ใช้นิ้วแตะสั่งงานระบบควบคุมความเร็วขณะลงจากทางลาดชัน รวมถึงทดสอบการทำงานและประสิทธิภาพของช่วงล่าง ท่ามกลางก้อนหินที่กองอยู่รอบๆ เส้นทางทดสอบ การไต่ลงเนินชันด้วยระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ซอฟต์แวร์สั่งงานอย่างเร็วหลังจากหัวรถทิ่มลงแล้วผมค่อยๆ คลายเท้าออกจากแป้นเบรกและแค่ประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางแคบๆ ในช่วงที่หัวรถปักลงมา HDC ช่วยปรับแรงดันหม้อลมเบรกอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ลดอาการลื่นไหลและรักษาความเร็วให้คงที่เมื่อขับลงทางลาดชัน ทำให้เทความสนใจกับการควบคุมพวงมาลัยเพื่อรักษาช่องทางที่คับแคบได้อย่างเต็มที่ ระบบ HDC ของ Ford Ranger 4×4 ทำงานเงียบเชียบ ด้วยมุมจากด้านหลัง 23 องศา (เพิ่มจาก 21 องศาในรุ่นก่อนหน้า) ฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้น เพิ่มความมั่นคงในการขับบนเส้นทางออฟโรดที่ยากลำบาก ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องด้วยการขับผ่านแอ่งน้ำ ‘Water Wading’ แบบสบายๆ เนื่องจากน้ำซึมลงดินไปซะเยอะ เหลือแค่นิดเดียวเท่านั้นเองไม่ถึง 10 เซนติเมตร ผมลุยผ่านในย่านความเร็วต่ำเนื่องจากไม่รู้ว่าใต้น้ำนั้นจะมีหินหรือหลุมที่อาจทำให้ยางเกิดปัญหา! 

สถานีที่ 2
ความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร โดยในสถานีที่ 1 และ 2 นี้ ได้ลองใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เพื่อช่วยมองอุปสรรค สิ่งกีดขวาง ที่อยู่นอกตัวรถระหว่างการขับขี่ได้อย่างชัดเจน แอ่งน้ำตื้นๆ ทำให้การลุยไม่สร้างปัญหาให้กับการควบคุม ตอนแรกมีความตั้งใจที่จะทำให้ระดับน้ำสูงกว่านี้ แต่น้ำในแอ่งได้ซึมลงดินจนเหลือแค่ 10 เซนติเมตรเท่านั้น 

สถานีที่ 3
ลองใช้โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery Track) ในสวนปาล์มน้ำมันมีเส้นทางทดสอบเล็กๆ เป็นทางดินเปียกๆ จากฝนที่ตกลงมาหลายวันแล้ว และทำให้เกิดอาการลื่นไถล ถ้ามาเร็วจนเกินไปอาจไหลไปปะทะกับต้นปาล์มได้ง่ายๆ ในโหมดถนนลื่น Slippery Track  ซอฟต์แวร์และเซนเซอร์ควบคุมจะสั่งงานให้แรงบิดถูกกระจายอย่างสมดุลไปยังล้อทั้ง 4 เพิ่มความเสถียรและป้องกันการเทแรงบิดมากเกินไปจนอาจทำให้เกิดอาการลื่นไถล การขับขี่บนถนนลื่นหรือพื้นถนนที่ไม่สม่ำเสมอใช้โหมดนี้ช่วยทำให้ขับได้ง่ายขึ้นบนทางดินลื่นๆ New Ranger ออกแบบฝากระโปรงหน้าใหม่ ช่วยให้กะระยะในการขับผ่านอุปสรรคสิ่งกีดขวางต่างๆ การใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา เป็นตัวช่วยให้สามารถมองเห็นด้านนอกรถ ทำให้ควบคุมทิศทางของพวงมาลัยและบังคับทิศทางของรถให้ผ่านอุปสรรคบนเส้นทางได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 

สถานีที่ 4
ทางโคลน (Mud Track) เป็นการขับขี่ด้วยโหมดโคลน (Mud Mode) โดยใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แสดงการทำงานของระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) ช่วยถ่ายเทกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ทำให้ผ่านเส้นทางโคลนหรือถนนลื่น โดยเฉพาะร่องโคลนในสนามทดสอบที่ลึกเอาเรื่อง ผิดไลน์แล้วอาจติดได้ แต่ก็เอาตัวรอดออกมาได้ด้วยการใช้ความเร็วต่ำกับคอยประคองพวงมาลัยให้หน้ารถอยู่ในไลน์หรือร่องที่เกิดจากรถคันข้างหน้า ไม่งั้นจอดไม่ต้องแจวละครับ 

สถานีที่ 5
พื้นกรวด ‘Loose Surface’ ผมปรับโหมดการขับกลับสู่โหมดการขับขี่บนถนนลื่น (Slippery mode) เพื่อทดสอบการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เป็นทางหินกรวดเพื่อกำลังของเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ขณะใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง ตรงนี้ก็ทำออกมาได้ดี รถมีแรงบิดเยอะแต่ถูกควบคุมให้ถ่ายเทลงล้อได้อย่างสมดุล 

สถานีที่ 6
บอกเลยว่าเห็นแล้วเสียว ถ้าเป็นเจ้าของรถจริงๆ ผมคงไม่เอามาลุยกองหินเพราะเสี่ยงกับยางแตกแมกแหกมากเลยละครับ การขับขี่ลุยทางหิน ใช้โหมด ‘Rocky Terrain’ ปรับไปที่โหมดการขับขี่ปกติ (Normal mode) กดปุ่มสั่งงานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เป็นแบบ 4Low (4L) กดหน้าจอเพื่อเปิดระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) เพื่อทดสอบแรงบิดของเครื่องยนต์ในรอบต่ำ และอัตราทดเกียร์ รวมถึงความสูงใต้ท้องรถและระบบรองรับขณะขับฝ่าหินก้อนโตๆ สถานีนี้ถ้าพลาดอาจทำให้ล้อและยางเกิดปัญหาได้เลยแต่ก็ผ่านกันออกมาได้ทุกคันจากการวางตำแหน่งรถที่ถูกต้องกับไลน์ที่ปลอดภัย

ต่อด้วยการขับขี่บนสภาพเส้นทางที่เป็นพื้นทราย ‘Sand Track’ ในสถานีที่ 7 ด้วยการใช้โหมดทราย (Sand mode) สื่อมวลชนได้สัมผัสถึงระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว และการกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ทำให้รถผ่านอุปสรรค

สถานีที่ 8 ลุยทางออฟโรด (Off-Road Maneuvering) ใช้โหมดปกติ (Normal mode) ปรับการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไปที่ 4H เพื่อทดสอบการควบคุมพวงมาลัย การทรงตัวของรถ และความทรงพลังของเครื่องยนต์ แรงบิดและอัตราทดเกียร์ Ford Ranger 2.0 Bi Turbo 4×4 โชว์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ออฟโรดโดยรวมที่ดีขึ้น การปรับให้รถมีมุมเงยที่ 30 องศา (เพิ่มจาก 28.5 องศาในรุ่นก่อนหน้า) ทำให้การหลบหลีกจากสิ่งกีดขวางบนเส้นทางออฟโรดดีขึ้น 

การตอบสนองของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตรกำลัง 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะมีการปรับจูนให้แรงม้าลดลงเพื่อลดตัวเลขการปล่อยมลพิษ แต่แรงบิดของเครื่องยนต์รุ่นนี้ยังคงเหมือนเดิมที่ 500 นิวตันเมตร การเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่งไปจนถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาไป 10.5 วินาที ในรถกระบะคันโตที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 2.2 ตัน ถือว่าเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพที่ใช้ได้ (ห่วงอย่างเดียวเรื่องหัวฉีดที่ไม่ชอบน้ำมันดีเซลในไทย) เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ยังประจำการอยู่ใน Everest เจเนอเรชันใหม่ ขุมกำลังรุ่นดังกล่าว ออกแบบระบบบายพาสโดยปรับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อมอบประสิทธิภาพในการใช้งาน กล่าวคือ เทอร์โบชาร์จ 2 ตัว จะทำงานร่วมกันที่รอบต่ำเพื่อเพิ่มกำลังแรงบิดและการตอบสนอง หรือปรับทำงานโดยไม่ผ่านเทอร์โบขนาดเล็ก เพื่อให้เทอร์โบขนาดใหญ่ส่งกำลังได้เต็มที่เมื่อใช้รอบสูงต่อเนื่อง 

ช่วงเย็นหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบในสถานีออฟโรด ผมขับเดินทางกลับไปยังเกาะภูเก็ตบนเส้นทางเขานางหงส์ เพื่อลองทดสอบประสิทธิภาพของการขับขี่บนทางหลวงที่มีทั้งทางตรงสลับโค้งวกไปวนมา ทางขึ้นลงเนินเขาที่ค่อนข้างลาดชัน การขับบนเส้นทางเรียบๆลาดยางมะตอย Ford Ranger 2.0 Bi Turbo 4×4 ให้ความสบายภายในห้องโดยสารนุ่มนวลเหมือนรถเก๋ง เสถียรภาพการทรงตัวที่เพิ่มขึ้น จากฐานล้อที่กว้างและยาวขึ้น ส่วนการทดสอบเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ ด้วยระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering) ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยลดความเมื่อยล้า แต่ผมลองแค่แวบเดียวเพราะไม่ชอบให้รถเข้ามาแทรกแซงการควบคุมมากจนเกินไป 

นอกจากการทดสอบสมรรถนะในการขับแล้ว Ford ยังจัดสาธิตความอเนกประสงค์ของรถ ในการเป็นรถยนต์สำหรับการทำงานกลางแจ้ง และการเป็นรถยนต์สำหรับครอบครัว กระบะท้ายออกแบบให้รองรับการจัดเรียงสิ่งของอย่างเป็นระเบียบในหลากหลายรูปแบบ (Cargo management system) บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายที่ทำให้การขึ้นท้ายกระบะง่ายขึ้น แต่ก็ต้องตะกายปีนป่ายอยู่ดี  การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเชื่อมระบบไฟจากช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายเพื่อทำงานช่างหรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การออกแบบพื้นที่เก็บของใต้ที่นั่งใหม่เพิ่มพื้นที่เก็บของใต้เบาะหลังเพื่อความเป็นระเบียบ สามารถเก็บสัมภาระของทุกคนในครอบครัวได้โดยที่นั่งยังคงกว้างขวาง ห่วงยึดสัมภาระบนขอบกระบะท้าย ออกแบบมาเพื่อให้บรรทุกอุปกรณ์สันทนาการ เช่น เซิร์ฟบอร์ด จักรยาน เรือคายัคลำเล็ก หรือแม้แต่บรรทุกอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีน้ำหนักมาก 

Ford พร้อมเริ่มจำหน่าย New Ranger 2.0 Bi Turbo 4×4 ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ในโชว์รูมก็จะมีรถจอดโชว์หรือให้ลองขับทดสอบ หากเล็งๆ ไว้ก็ไปลองดูก่อน ความนิ่มนวลในรถกระบะนั้นหาได้ยาก Ford ตั้งใจทำรถออกมาได้ดี ทั้งการขับและเก็บเสียง เป็นรถปิกอัพที่ปรุงแต่งให้ออกมาในแนวกระบะพ่อบ้านชอบวิ่งลงทางวิบาก เจ้าของต้องเป็นคนชอบเดินทางไกล ขับรถข้ามจังหวัดบ่อยครั้งและมีหลายครั้งที่ต้องขับบนเส้นทางออฟโรด ชอบพาครอบครัวออกไปผจญภัยในที่ห่างไกลรถเก๋งเข้าไม่ถึง Ranger 2.0 Bi Turbo 4×4 มีช่วงล่างใหม่ที่ให้ความรู้สึกอย่างกับรถเก๋ง อาการโคลงน้อยลงเพราะโช้คโมโนทูป มีกลไกวาล์วในกระบอกโช้คช่วยควบคุมการทำงานของของเหลวภายใน ให้ความรู้สึกหนึบนุ่มกำลังเหลือ 210 แรงม้า ปรับลดลงเล็กน้อยเพื่อทำให้การปล่อย Co2 ลดลง แรงบิดเท่าเดิม 500 นิวตันเมตร ดันเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น ขับตามสั่งได้เพราะเป็นรถที่มีไดนามิกดี เครื่องเกียร์เนียนใช้ได้ เกียร์ 10 สปีดตัดต่อเนียนและไหลลื่น พวงมาลัยไฟฟ้าเบากว่าตัวที่แล้วนิดๆ ที่เพิ่มเติมก็คือ คันใหญ่มาก ยาว 5.3 เมตร อาจทำให้เกิดปัญหาเวลาไปห้าง เป็นกระบะที่มีฟังก์ชันใช้งานเพียบ เหนือกว่ากระบะคู่แข่งชัดเจน ถ้าหัวฉีดและเกียร์ไม่มีเรื่องจุกจิกอีกก็น่าจะทำตลาดได้ดีเลยละครับ.

NEW FORD RANGER 2022 WILDTRAK 2.0 BI TURBO 4X4 ราคา 1,299,000 บาท เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Bi Turbo 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1750-2000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มิติตัวถังกว้าง 1,918 มิลลิเมตร ยาว 5,370 มิลลิเมตร สูง 1,884 มิลลิเมตร ระบบเบรกดิสเบรก 4 ล้อ พร้อมครีบระบายความร้อน ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ยาง 255/65R18 

อุปกรณ์ภายนอก
ไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ
ไฟหรี่กลางวันและไฟท้าย LED
ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบปรับและพับด้วยไฟฟ้า
ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ
กาบบันไดข้างและบันไดที่เหยียบขึ้นกระบะท้าย 
สปอร์ตบาร์และราวหลังคา
พื้นปูกระบะท้ายพร้อมช่องเชื่อมต่อปลั๊กไฟ 12-230 โวลต์ 
ฝากระบะท้ายพร้อมระบบผ่อนแรงเปิด

อุปกรณ์ภายใน 
แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย 
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
เบาะหนังและหนังสังเคราะห์ใน New Ranger WildTrak 
หน้าจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 12.0 นิ้ว 
เชื่อมต่อ apple carplay android auto แบบไร้สาย
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายและระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC4
ระบบ Ford Pass Connect
กุญแจรีโมท พร้อมปุ่มสตาร์ตอัตโนมัติ 
ช่องต่อไฟ 12V และช่องต่อไฟ 230V
หน้าจอแสดงผลมาตรวัดและโหมดขับเคลื่อนรวมถึงข้อมูลต่างๆ ขณะขับเคลื่อน ขนาด 8 นิ้ว 
ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร 

ระบบความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ด้านหน้า ด้านข้าง ถุงลมบริเวณหัวเข่า
ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง
กล้องมองหลัง
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบเสริมแรงเบรก EBD 
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
เบรกมือไฟฟ้า
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control 

อุปกรณ์เฉพาะรุ่น Bi Turbo 4×4 / 4×2
สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go 
ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินเท้า
ระบบเตือนการชนด้านหน้า
ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
ระบบตรวจจับจุดบอด ระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอดรถ
กล้องมองรอบคัน 360 องศา
ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง
ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ

อุปกรณ์เฉพาะรุ่น Bi turbo 4×4 
ไฟหน้า matrix led ระบบปรับลำแสงอัตโนมัติ
ระบบล็อกล้อ terrain management แบบหมุน
ระบบขับลงทางลาดชัน HDC hill descent control

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/