มาแล้ว! AUDI Q8 60TFSI e QUATTRO S LINE BLACK EDITION PHEV (PLUG IN HYBRID)




Audi Q8 PHEV คือรถสปอร์ตเอสยูวีทรงคูเป้ที่ผนวกระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ากับเครื่องยนต์เบนซิน V6 ทวินเทอร์โบ ความจุ 3.0 ลิตร ชาร์จไฟ 4 ชั่วโมง คุณจะได้ระยะการใช้ไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 47-59 กิโลเมตร เป็นรถอเนกประสงค์แนวสปอร์ตที่มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกสองแบบ

Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,799,000 บาท

Audi Thailand นำเสนอ Q8 พร้อมระบบพลังงานผสม เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในรูปแบบยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ถือเป็นการปิดช่องว่างสุดท้ายในกลุ่มสปอร์ตเอสยูวีพลังงานผสม Q8 มอบการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและพลังที่เป็นพลวัตของรถ SUV Coupé ในตลาดต่างประเทศ Q8 PHEV มีให้เลือกสองรุ่น สำหรับสมรรถนะที่แตกต่างกัน (เล็กน้อย) เริ่มจาก Q8 55 TFSI e quattro ให้กำลังขับของระบบ 280 กิโลวัตต์ หรือ 381 แรงม้า อีกรุ่นคือ Q8 60 TFSI e quattro เป็นรุ่นที่ Audi Thailand นำเข้ามาขายในประเทศไทย ให้เอาต์พุตที่ 340 กิโลวัตต์ หรือ 462 แรงม้า บ้าพลังมากพอที่จะท้ารบกับ Mercedes-AMG GLE53 4Matic + หรือแม้แต่ตัวโหดอย่าง BMW X6 xDRIVE 40i M Sport CKD ที่เพิ่งจะเปิดตัวรุ่นประกอบในเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

Audi รุดหน้ากับการพัฒนาศักยภาพของระบบขับเคลื่อนแบบผสมผสาน การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องกับรถ Q8 TFSI e quattro SUV Coupé นับเป็นสี่ห่วงรุ่นที่ 7 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริด โดยทำการเปิดตัวในตลาดโลก ตั้งแต่กลางปี 2019 Audi ได้นำเทคโนโลยีขับเคลื่อนแบบ Plug in Hybrid เพื่อเพิ่มทางเลือก ปิดช่องว่างทางการตลาด ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การขับด้วยพลังงานผสม การจัดการกับระบบชาร์จไฟที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย รวมถึงความสามารถในการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียวๆ ไกล กว่า 50 กิโลเมตร ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100%

จุดแข็งของ Q8 PHEV รุ่น 60TFSI Quattro S Line ก็คือ ต้นกำลังแบบเบนซินเทอร์โบคู่ พร้อมระบบเชื้อเพลิง TFSI ออกเทนสูง มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชุดส่งกำลังแบบไฮบริด Q8 PHEV คล้ายกับยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั่วไป เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเบนซิน ความจุ 3.0 TFSI รุ่น 55 ให้กำลัง 280 กิโลวัตต์ หรือ 381 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (331.9 ปอนด์-ฟุต) เรียกว่ากระชากกันตั้งแต่เกียร์ 1 ไปจนถึงเกียร์ 6 เลยทีเดียว เครื่องยนต์เบนซิน V6 ทวินเทอร์โบ ถูกปรับแต่งให้เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยไอเสีย Euro 6 AP เวอร์ชันล่าสุด มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นแบบซิงโครนัสถาวร (PSM) มีกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 135 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้ามีขนาดกะทัดรัด กั้นอยู่ตรงกึ่งกลาง ระหว่างตัวเครื่องเครื่องยนต์กับชุดส่งกำลัง Triptronic 8 สปีด เป็นโมดูลไฮบริดที่ผสานการทำงานของทั้งสองระบบ เชื่อมต่อด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro เวอร์ชันเอสยูวี โดยเน้นไปที่ประสิทธิภาพด้านการกระจายแรงบิดที่สมดุล การตอบสนองที่ดี เมื่อต้องการประสิทธิภาพแบบเต็มร้อย ปล่อยมลพิษต่ำและประหยัดเชื้อเพลิง ถ้าคุณยังลังเลกับ Audi e-Tron Sportback ในเรื่องของระยะทางการใช้งานและจุดชาร์จไฟที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ Q8 PHEV 60TFSI ถือเป็นรถยนต์พลังงานผสมที่มีความน่าใช้ ทรงพลัง เร่งติดเท้าจากตีนต้นที่จัดจ้าน ก่อนที่จะก้าวไปสู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้นี้

แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนติดตั้งอยู่ใต้ห้องเก็บสัมภาระท้าย ประกอบด้วยเซลล์ปริซึมรุ่นล่าสุด 104 เซลล์ ควบรวมเป็น 13 โมดูล เซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์ ออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน ความจุไฟฟ้า 48 Ah แบตเตอรี่มีความจุพลังงาน 17.9 kWh ซึ่งมากกว่าแบตเตอรี่ที่ประจำการอยู่ใน Q7 TFSI e quattro 0.7 kWh และเปิดตัวในตลาดรถหรูของยุโรปและอเมริกาเมื่อปี 2019 ปัจจุบัน Q7 ได้ติดตั้งแบตเตอรี่รุ่นล่าสุด ซึ่งมีความจุเพิ่มขึ้นและมีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม แบตฯ มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม การระบายความร้อนด้วยของเหลว ซึ่งสร้างการไหลเวียนเพื่อถ่ายเทความร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยหลักสำหรับประสิทธิภาพการทำงานของแบตฯ ทั้งความจุและการถ่ายเทกระแสไฟ โมดูลถูกเชื่อมต่อกับวงจรน้ำหล่อเย็น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มันแปลงกระแสตรงจากแบตเตอรี่เป็นกระแสไฟสามเฟสเพื่อให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อผู้ขับยกคันเร่งหรือเบรก ระบบ regenerative breaking system  จะปั่นไฟเพื่อส่งกลับไปยังแบตเตอรี่เพื่อใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำรอง

มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 TFSI ส่งกำลังไปยังเกียร์ Triptronic 8 สปีด เป็นชุดส่งกำลังที่ปรับตั้งให้สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างรวดเร็ว ไหลลื่นปราศจากอาการกระตุกกระชาก ปั๊มเชื้อเพลิงแบบไฟฟ้าของระบบ TFSI ช่วยให้จ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำ แม้เครื่องยนต์เบนซิน V6 จะปิดการทำงาน ระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบถาวรหรือ Quattro มีการควบคุมทางกล ระหว่างการขับขี่ปกติ Quattro จะกระจายแรงบิด 40 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า และ 60 เปอร์เซ็นต์ไปทางล้อด้านหลัง เมื่อเซนเซอร์ของชุด Quattro ตรวจพบว่า มีความจำเป็นจะต้องผกผันแรงบิดอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถส่งกำลังที่มากขึ้นไปยังเพลาเพื่อเสริมแรงยึดเกาะให้ดีขึ้น ชุดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบใหม่ สามารถกระจายแรงบิดไปยังเพลาหน้าได้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือส่งถ่ายไปยังเพลาหลังได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์

เครื่องยนต์สองระดับความแรง เริ่มจาก 280 กิโลวัตต์ (381 PS) และ 340 กิโลวัตต์ (462 PS) ใน Audi Q8 60TFSI Quattro S Line SUV Coupé รุ่นท็อปที่ Audi Thailand นำเข้ามาขายในไทย กับระดับของย่านกำลังที่แตกต่างกันในแง่ของกลยุทธ์การเพิ่มความเร็ว ในการใช้งานไฟฟ้าล้วนๆ Q8 60 TFSI e quattro รุ่นที่ทรงพลังกว่า เมื่อมีไฟเต็มแบตเตอรี่ จะไปได้ไกลโดยไม่ติดเครื่องยนต์ 45-56 กิโลเมตร ส่วน Q8 55 TFSI e quattro มีช่วงการทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ ไกล 47- 59 กิโลเมตร คุณจะเร่งความเร็วด้วยมอเตอร์เพียงอย่างเดียวได้ถึง 135 กม./ชม. และถ้าเร็วกว่านั้นขึ้นไปอีก เครื่องยนต์จะติดตัวเองขึ้นมาเพื่อเสริมแรงบิดร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า

Q8 60 TFSI e quattro กำลัง 340 kW (462 PS) แรงบิดของทั้งสองระบบรวม 700 นิวตันเมตร (516.3 lb-ft) เมื่อเครื่อง V6 ทวินเทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน ก่อให้เกิดแรงบิดมหาศาล 60 TFSI e Quattro เร่งความเร็วจาก 0- 100 กม./ชม.ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด ถูกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ที่ 240 กม./ชม. ส่วน Q8 55 TFSI e quattro ให้กำลังของระบบ 280 กิโลวัตต์ (381 PS) แรงบิด 600 นิวตันเมตร (442.5 ปอนด์-ฟุต) เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 240 กม./ชม. 

การจัดการแบบผสมผสานและกลยุทธ์การดำเนินงานเชิงคาดการณ์ของซอฟต์แวร์ควบคุมในระบบขับเคลื่อน การจัดสรรพลังงานของ Audi Q8 60TFSI e quattro มีการเลือกกลยุทธ์การดำเนินงานที่เหมาะสม สำหรับการเดินทางแต่ละครั้งโดยอัตโนมัติ SUV Coupé จะสตาร์ตด้วยโหมด “EV” แบบใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ที่ความเร็วต่ำขณะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (ในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน) ลำโพงของระบบ AVAS ที่อยู่บริเวณซุ้มล้อหน้าขวาจะส่งเสียงเตือนตามกฎหมายกำหนด (AVAS ระบบแจ้งเตือนตำแหน่งรถแบบอะคูสติก) เครื่องยนต์เบนซินจะทำงานก็ต่อเมื่อคนขับเหยียบคันเร่งเต็มที่ หรือที่เรียกว่า “แป้นคันเร่งแบบ Active” เมื่อชาร์จไฟจนเต็ม หากต้องการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้มากที่สุด สามารถเลือกโหมด “EV” ในจอแสดงผล MMI ส่วนกลาง โหมด Hybrid ซึ่งเป็นกลยุทธ์การบริหารพลังงานของระบบขับเคลื่อนหลักใน Audi Q8 TFSI e quattro ประกอบด้วยโหมดการทำงานสามโหมด คือ Auto / Hold /Charge ในโหมด “อัตโนมัติ” หรือ Auto ระบบไฮบริดจะเลือกการขับเคลื่อนที่เหมาะสมที่สุดแบบอัตโนมัติ มันจะใช้ไฟฟ้าเต็มที่ 100% ในย่านความเร็วต่ำ, ผสมผสานด้วยการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ TFSI ที่ความเร็วสูง เมื่อขับเร็ว ระบบจะใช้พลังงานของทั้งสองแบบผสมกัน ข้อมูลจากสภาพแวดล้อมของการขับถูกประเมินผลอยู่ตลอดเวลาแล้วแจ้งเตือนที่หน้าจอของระบบ MMI แม้ว่าระบบนำทางจะถูกปิดการใช้งาน

การผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อเปิดใช้งานควบคู่ไปกับระบบนำทางและกำหนดตำแหน่งด้วยดาวเทียม MMI navigation plus หน้าที่ของมัน คือ การจัดการกับระบบชาร์จแบตเตอรี่ขณะขับเคลื่อนไปตามสภาพเส้นทางที่บันทึกอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กลยุทธ์การจัดสรรพลังงานแบบคาดการณ์ล่วงหน้า สามารถชาร์จแบตเตอรี่ด้วยเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ และเพื่อสำรองไฟไว้ใช้ ในระหว่างการขับในเมืองที่มีสภาพการจราจรติดขัด บนพื้นฐานของข้อมูลจำนวนมากที่ใช้เพื่อการนี้ Audi ได้พัฒนาระบบ MMI navigation plus ซึ่งมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลการนำทาง สภาพแวดล้อม และข้อมูลการจราจรออนไลน์แบบเรียลไทม์

ในโหมด Hold กลยุทธ์การดำเนินงานมุ่งเป้าไปที่สถานะการชาร์จของแบตเตอรี่โดยมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย ในโหมด “ชาร์จ” จุดมุ่งหมาย คือ การชาร์จแบตเตอรี่ให้มากที่สุดในขณะขับบนไฮเวย์หรือขับแบบใช้ความเร็วสูง นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลงในเขตเมือง และกิโลเมตรสุดท้ายจะต้องใช้งานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในเขตเมืองที่เข้มงวดเรื่องมลภาวะ โดยเฉพาะบางเมืองใหญ่ในยุโรปที่มีการจำกัดการใช้งานเฉพาะยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น

regenerative braking system พลังการฟื้นฟูกระแสไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ระบบช่วยคาดการณ์นับเป็นซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ เป็นสมองกลไฟฟ้าที่สำคัญในระบบขับเคลื่อนของ Q8 PHEV เมื่อผู้ขับเหยียบคันเร่ง จะมีการตัดสินใจว่ารถจะเปลี่ยนไปใช้ freewheeling ของเครื่องยนต์ V6 TFSI ที่ปิดการทำงานในฟังก์ชัน coasting หรือจะลดความเร็วด้วยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า และด้วยเหตุนี้ การชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตฯ ขณะวิ่งด้วยความเร็ว สามารถดึงพลังงานกลับคืนมาได้ถึง 25 กิโลวัตต์ในโหมดชาร์จ มอเตอร์ไฟฟ้ายังทำหน้าที่หน่วงความเร็วได้เต็มศักยภาพ เบรกไฮดรอลิกของ Q8 PHEV ใช้งานในกรณีที่ต้องการลดความเร็วลงอย่างฉับพลันทันที พร้อมๆ กับการชาร์จไฟของ regenerative braking system แป้นเบรกตอบสนองดีและปรับค่าของแรงเบรกได้อย่างแม่นยำ Audi Q8 TFSI e quattro ให้กำลังการ regen สูงสุด 80 กิโลวัตต์ขณะใช้เบรก

เมื่อระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (อุปกรณ์เสริม) ถูกเปิดใช้งาน ระบบจัดสรรพลังงานไฟฟ้าเชิงคาดการณ์จะทำงานทันที ไม่เพียงแต่ในระหว่างการลดความเร็วเท่านั้น แต่ยังทำงานในระหว่างการเร่งความเร็วอีกด้วย ถ้าปิดสวิตช์ยกเลิกการใช้งาน ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับรับรู้ว่า เมื่อใดที่จะยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับจะรู้สึกถึงแรงกระตุ้นในการเหยียบคันเร่งไฟฟ้าแบบ Active และเห็นข้อมูลที่แสดงบนจอแสดงผล HUD บนกระจกตรงหน้าคนขับ Q8 TFSI e quattro สามารถติดตั้งออปชันเสริม นั่นก็คือ ระบบช่วยเหลือผู้ขับที่ล้ำสมัย เช่น ระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งเข้าควบคุมการเร่งความเร็ว ชะลอตัว และรักษาระยะห่างในช่องทางที่ปลอดภัย สำหรับการขับทางไกล โดยไม่ทำให้สมาธิของคนขับลดน้อยลง 

โหมดขับเคลื่อน Audi drive select ใน Audi Q8 60TFSI e quattro มีรูปแบบการขับขี่ให้เลือก 7 รูปแบบ เช่น comfort, efficiency, auto, dynamic, individual, offroad, and allroad (with adaptive air suspension sport) ระบบกันสะเทือนถุงลมแบบปรับระดับได้ Audi drive select เข้าถึงประสิทธิภาพและลักษณะการขับที่หลากหลาย เช่ือมโยงการทำงานกับเครื่อง V6 3.0 TFSI, เกียร์ tiptronic, ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม และพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า วิธีการทำงานของระบบกันกระเทือนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า ตัวอย่างเช่น เมื่อเลือกโหมดที่ตอบสองสูงสุดอย่าง Dynamic และเกียร์ tiptronic อยู่ในตำแหน่ง S มอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรง ให้กำลังเสริมที่ทรงพลัง ทันทีที่คนขับเร่งความเร็ว เมื่อลดความเร็ว ระบบชาร์จพลังงานกลับคืนจะทำงานในระดับสูงสุด

เช่นเดียวกับยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั้งหมดของ Audi Q8 60 TFSI e quattro สร้างความประทับใจในการขับเคลื่อน ด้วยความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับสี่หรือห้าคน ช่องเก็บสัมภาระมีพื้นง่ายต่อการโหลด ให้ปริมาตร 505 ลิตร (17.8 ลูกบาศก์ฟุต) เมื่อยังไม่ได้พับเบาะหลัง และเพิ่มเป็น 1,625 ลิตร (57.4 ลูกบาศก์ฟุต) เมื่อพับเบาะนั่งด้านหลังลง ประสิทธิภาพด้านแรงฉุดลาก สามารถดึงเทรลเลอร์พ่วงที่มีน้ำหนัก 3.5 เมตริกตัน (7716.2 ปอนด์) (ที่ความลาดเอียง 12 เปอร์เซ็นต์) ชุดขับสี่ Quattro รับประกันในแง่ของการยึดเกาะ

Audi Q8 60TFSI Quattro S Line Plug in Hybrid มาพร้อมกับสายชาร์จสำหรับปลั๊กไฟในครัวเรือนหรือในโรงงานอุตสาหกรรม ความจุในการชาร์จสูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่เปล่า สามารถชาร์จจนเต็มได้ภายในเวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ในสยุโรป แอป myAudi ลูกค้าสามารถใช้บริการที่ปรับแต่งได้จาก Audi connect บนสมาร์ทโฟน บริการเสริมเหล่านี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และช่วงระยะเวลาเมื่อเริ่มกระบวนการชาร์จ ตั้งโปรแกรมจับเวลาการชาร์จ และดูสถิติการชาร์จและการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า สถานีชาร์จถูกแสดงอยู่ในทั้งแอปและในระบบนำทาง MMI plus อีกฟังก์ชันหนึ่งของแอป myAudi คือ ระบบควบคุมสภาพอากาศภายในรถก่อนออกเดินทาง ระบบทำความร้อนที่พวงมาลัยและเบาะนั่ง รวมถึงการระบายอากาศของเบาะนั่ง 

Audi Q8 60 TFSI e quattro เน้นสมรรถนะแบบสปอร์ตเอสยูวี  แพ็กเกจอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก S line Black Edition ทำให้รูปลักษณ์ดูโฉบเฉี่ยว ด้วยรายละเอียดการออกแบบที่โดดเด่นทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง แพ็กเกจ Black Edition สไตล์สีดำ ตัดกับชุดแต่งภายนอก S line ในสีเดียวกับตัวรถ ไฟหน้า Matrix LED พร้อมระบบอัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Adaptive Air Suspension แบบปรับระดับได้ ยางสปอร์ตขนาด 285/45 ติดตั้งบนล้อขนาด 21 นิ้ว และคาลิปเปอร์เบรกทาสีแดง แพ็กเกจ S line sport ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำ หรือบางส่วนเป็นสีเทาโรเตอร์ (บนเบาะนั่ง) ประกอบด้วยเบาะนั่งแบบสปอร์ต พร้อมลายนูนรูปตัว S แป้นเหยียบและที่พักเท้าทำจากสเตนเลส ส่วนชิ้นงานตกแต่งที่แดชบอร์ดและแผงประตูทำจากอะลูมิเนียมขัดเงาด้าน.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/